ดอยพาวี อัญมณี แห่งอุ้มผาง จ.ตาก
ยอดดอยพาวี มีความสูง 1,920 เมตร จากระดับน้ำทะเล ชื่อนี้ โดดเด่นด้วยทิวเขา สลับไปมา มีทัศนียภาพที่งดงาม ยอดดอยแหลม พืชพันธ์ที่แปลกหายาก พร้อมกับ วิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงฤๅษี ที่อาศัยอยู่ติดขอบชายแดนพม่า
ยอดดอยนี้ จริงๆ แล้วอยู่ในฝั่งเขตประเทศ พม่า แต่จุดเริ่มต้นเดิน จะอยู่ที่ฝั่งไทย อ.อุ้มผาง จ.ตาก ฉะนั้นการเดินทางเข้าไป จะต้องขออนุญาตจากที่ทำการเขตชายแดนบ้านมะโอโค๊ะ และควรต้องมีคนนำทางที่เป็นคนท้องถิ่นเข้าไปด้วย เพราะจะรู้ว่าเส้นทางไหนปลอดภัย เป็นเส้นทางที่ชาวบ้านของทั้ง 2 ฝั่ง ได้เดินเข้าออกกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
เมื่อเดินทางถึง บ้านมะโอโค๊ะ แล้ว ต้องมาลงชื่อ พร้อมเลขบัตรประชาชน ทีละคนๆ ซึ่งพื้นที่ตรงนี้ ยังเป็นพื้นที่รอยต่อสีแดง รับผิดชอบโดยกองทัพบก หลังจากลงชื่อ และชำระค่าธรรมเนียมแล้ว และรับลูกหาบ (และเป็นคนนำทางด้วย) ที่เรานัดหมายกันที่นี่ ก็นั่งรถต่อ ไม่นาน ไปลงที่จุดเริ่มต้นการเดิน
เมื่อพร้อมแล้ว เริ่มออกเดินเวลา 11.00 น. มุ่งหน้าเดินเลาะเข้าป่า ทางเดินช่วงแรกเป็นทุ่งนา, รั้วไม้ไผ่ และฝายของชาวบ้าน แต่ก็เป็นระยะสั้นๆ จากนั้นจึงเป็นป่าดิบหนาแน่น จากจุดเริ่มเดินระดับ 800 เมตร จนไปถึงจุดกางเต้นท์ ที่ 1,700 เมตร ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง แล้วแต่ สภาพร่างกาย แต่ๆๆๆๆ จุดเริ่มต้นความเหนื่อย ยังไม่มาถึง เพราะการเดินวันแรก ยังถือว่าชิวๆ สภาพความยาก ใครเคยผ่านการเดินป่า อย่างน้อย ภูกระดึง หรือ ภูสอยดาว มาบ้าง ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
ช่วงแรก ต้องเดินผ่านไร่นา ของชาวบ้าน
บางช่วงต้องมีการปีน กันเลยทีเดียว
ใช้เวลาเดินเท้า ประมาณ 4 ชั่วโมง ก็ถึงพื้นที่จุดกางเต๊นท์ มีพื้นที่ให้กางมากพอสมควร ทั้งในพื้นที่ร่มใต้ต้นไม้ หรือ กางแจ้ง ที่จุดนี้ มีแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นตาน้ำให้ ล้างหน้า ล้างตา ใช้ดื่มกินได้ด้วย
วันแรกนี้ เราจะนอนกันที่นี่ จุดที่พวกเราตั้งแคมป์พักแรม ยังอยู่ในเขตประเทศไทย เป็นส่วนสามเหลี่ยมยื่นเข้าไปในเขตพม่า… แต่ในวันพรุ่งนี้เช้า (เริ่มเดินทางเวลา ตี 4) เราจะเดินข้ามไปฝั่งพม่า ไปยอดดอยพาวี ชมพระอาทิตย์ขึ้น
บริเวณใกล้ แค้มป์ มีแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นตาน้ำให้ ล้างหน้า เช็ดตัว ใช้ดื่มกิน
จากตรงนี้ สามารถมองเห็น ยอด ดอยมะม่วงสามหมื่น ที่อยู่เคียงข้าง
ช่วงกลางคืน หลังกินมื้อค่ำ แล้ว ฝนก็เทลงมา พอสมควร แต่ก็ได้ภาพสวยๆ เช่นกัน
ผมตื่นตั้งแต่ ตี 3 เพื่อ ออกมาถ่ายทางช้างเผือก และรอเวลาเริ่มเดินไป ยอดดอยพาวี ที่เวลา ตี 4 … ช่วงวันที่เดินทางมาเป็น คืนเดือนมืด และถือว่าโชคดีมาก เพราะท้องฟ้า ไม่มีเมฆ รบกวนเลย จากการที่ตอนหัวค่ำฝนตกหนักเทลงมา
ถ่ายทางช้างเผือก บริเวณ รอบแค้มป์กางเต้นท์ รอเวลาเดินขึ้นดอยพาวี
เมื่อถึงเวลา ตี 4 จึงเริ่มออกเดินเท้า ไปยอดดอยพาวี
ออกเดินมาได้สักหน่อยประมาณ 40 นาที ก็ถึง หินสามฤดู ขอถ่ายทางช้างเผือกอีกครั้ง วันนี้ฟ้าเปิดมาก
หินสามฤดู กับทางช้างเผือก
พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว คงไปไม่ทัน ดูพระอาทิตย์ขึ้นแน่ๆ ที่ ยอดดอยพาวี
ก้อนหน้าข้างหน้า (ขาไปจะอยู่ซ้ายมือของไหล่เขา) มีสีแดงทาไว้ เป็นสัญลักษณ์เขตแดน (และมีป้ายหลักเขตแดนทุกๆ 100 เมตร) ที่ทำไว้ระหว่างไทยกับพม่า เบื้องหน้าคือเขตแดนพม่า ทั้งหมด .. ยอดเขาไกลๆ นั้นคือ ยอดดอยพาวี มองเห็นเหมือนใกล้… แต่เราต้องเดินต่อ ขึ้นเขา และลงเขาอีก 3 ลูก… ความโหดกำลังเริ่มขึ้น
แต่วิวข้างทางเดินสวยมาก พร้อมกับอากาศหนาวๆ
เห็นยอดดอยพาวี แล้ว เหมือนใกล้ แต่ยังไกล ยังมีเขาอีก 2 ลูก
เราเดินทางมาถึง จุดที่ต้องแยกกันสำหรับผู้หญิงและชาย ด้วยความเชื่อบางอย่าง ของคนในพื้นที่ ทำให้ ผู้หญิงเดินมาได้ไกลสุดแค่ตรงจุดนี้ ตรงก้อนหินใหญ่สีดำ … ส่วนผู้ชาย ก็เดินไปต่อ ยอดดอย
วิวข้างทาง ชมยอดทิวเขาตัดสลับไปมา
ในที่สุดก็เดินมาถึงยอดดอยพาวี…. ขอบอกเลย ว่า เหนื่อยมาก เกือบท้อตัดใจก็หลายครั้ง แนะนำให้เตรียม ของกินรองท้อง กับน้ำดื่ม สัก 1-2 ขวดติดมาด้วย
กองหินบนยอดอย ที่เป็นความเชื่อของคนพื้นที่
วิวบนยอดดอยพาวี
เริ่มทยอยเดินลง เพราะหิวข้าวมาก ตอนนี้เวลา 8 โมงกว่าแล้ว เกือบ 4 ชั่วโมง นับตั้งแต่เริ่มเดินตอนเช้า
มองย้อนกลับขึ้นใปในจุดๆ ที่เพิ่งเดินลงมา
ใช้เวลาเดินกลับแค้มป์ อีกราว 2 ชั่วโมง กินมือเช้า และเก็บสัมภาระ แล้วเดินลง เวลา 11 โมง กับความประทับใจ ที่ได้จากธรรมชาติ
บทสรุป
การเดินขึ้นยอดดอย แรงใจและความมุ่งมั่นคือสิ่งสำคัญ ระหว่างทาง รู้สึกท้อก็หลายครั้ง เกือบเปลี่ยนใจเดินกลับก็หลายหน แต่ทุกครั้ง ที่รู้สึก ก็คอยตอบตัวเองเสมอว่า … อย่าคิดว่ากำลังเดินไปที่ยอดดอย แต่ให้นึกและมองแค่ทีละก้าวๆ ที่เดินก็พอ อย่ามองไกลไป มันจะท้อ..ให้มองใกล้ แล้วทำมันให้สำเร็จ สำเร็จแล้วก็มองก้าวต่อไป ก้าวต่อไป ..